เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ ม.ค. ๒๕๖๒

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๖๒

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรม สัจธรรมเป็นที่แสวงหา สัจธรรมเป็นความจริง

ไอ้ของเรา เราอยู่ในสมมุติสัจจะ สมมุติสัจจะมันเป็นความสมมุติ มันสมมุติขึ้นมา สมมุติขึ้นมาแล้วเราก็ใคร่ครวญศึกษา เวลาศึกษาขึ้นมามันเป็นความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเป็นจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ พระพุทธศาสนามหัศจรรย์มาก เลอเลิศมาก

แต่ของเรามือถือสาก ปากถือศีล เราศึกษาธรรมะกัน เราพยายามแสวงหากัน แต่ของเราประพฤติปฏิบัติไม่ได้ความเป็นจริงของเราทั้งนั้น เรารู้ทุกเรื่องแต่เราทำอะไรไม่ได้สักเรื่อง รู้ทุกเรื่องแต่ทำสิ่งใดไม่ได้สักเรื่องเลย

เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา แล้วก็มาแปลความแปลค่าให้เป็นความเห็นของตนๆ ถ้าแปลความแปลค่าให้เป็นความเห็นของตนนะ

แต่ด้วยอำนาจวาสนานะ ในเมืองไทยมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ มันก็มีประเพณีวัฒนธรรม วัฒนธรรมของชาวพุทธๆ ไง

วัฒนธรรมของชาวพุทธ เวลาฝรั่งมาเที่ยวเมืองไทย มาเที่ยวเรื่องวัดเรื่องวาไง เรื่องวัดเรื่องวา สิ่งที่เป็นความเจตนาเป็นบุญกุศลในใจของชาวพุทธได้ก่อร่างสร้างขึ้นมา ได้ก่อร่างสร้างขึ้นมาเพราะอะไร เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านแสดงธรรมถึงชั้นสวรรค์ ชั้นพรหม เราก็สร้างสิ่งนั้นให้เป็นสิ่งวิจิตรพิสดาร พอวิจิตรพิสดารขึ้นมาเป็นวัฒนธรรม วัฒนธรรมของเรา

แต่พระพุทธศาสนาสำคัญ สำคัญมาก สำคัญ ถ้าเราศึกษาแล้ว เราศึกษาแล้วเราฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม

คนเรานะ ถ้าไม่มีศีลไม่มีธรรมในหัวใจมันจะไม่ต่างกับสัตว์ เวลาสัตว์ สัตว์มันสมสู่กันโดยธรรมชาติของมัน สัตว์เวลามันฉุนเฉียว มันทำร้ายกัน

มนุษย์เรามีศีลมีธรรม ถ้ามีศีลมีธรรมขึ้นมา มนุษย์ต่างจากสัตว์ ต่างจากสัตว์เพราะมีศีลมีธรรม ถ้ามีศีลมีธรรม เรามีอำนาจวาสนาของเรา เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้ว ศึกษามาๆ ศึกษามาเพราะอะไร ศึกษามาเพราะเรามีทิฏฐิมานะของเรา เราว่าเรามีความรู้มีความสามารถ เราแสวงหาสิ่งใดก็ได้ จะแสวงหาความสุขสิ่งใดก็ได้ แล้วเราก็แสวงหาของเรา

แต่แสวงหาสิ่งนั้นมาๆ เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่านั่นเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยๆ

คนเราปัจจัยเครื่องอาศัยนะ เวลาสัตว์มันได้กินอิ่มนอนอุ่นของมัน มันก็มีความสุขของมัน ของเราปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ เวลาปัจจัย ๔ ขึ้นมา คุณภาพชีวิตๆ เราก็แสวงหาสิ่งที่ประณีตลึกซึ้ง ประณีตลึกซึ้งของเรามันก็เป็นเพราะของเราไง แต่คนที่เขาอยู่กับสิ่งนั้นจนจำเจของเขามันก็เป็นเรื่องธรรมดาของเขา เป็นเรื่องธรรมดาของเขาๆ

ฉะนั้น ปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ มันเป็นสิ่งดำรงชีวิตขึ้นมา เราก็ไปทำให้มันเป็นสิ่งที่เลอค่าไปซะ

สิ่งที่เป็นความจริงๆ คือน้ำใจของมนุษย์ๆ น้ำใจของคนนี้สำคัญมาก

พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกด้วยสัจจะด้วยความจริง ด้วยความเอื้อเฟื้อ ด้วยความเอื้ออาทรของพ่อของแม่ ด้วยความเอื้อเฟื้อ ด้วยความเอื้ออาทรของพ่อของแม่นะ

น้ำใจของพ่อของแม่รักลูกโดยธรรมชาติ รักลูกโดยสัญชาตญาณ สัญชาตญาณของสัตว์มันก็รักลูกของมัน เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นมนุษย์ เราก็รักลูกรักเต้าของเรา รักลูกรักเต้าของเรา การกระทำของเราได้รับความอบอุ่นมาจากพ่อจากแม่ จากพ่อจากแม่ขึ้นมา สิ่งที่เราเกิดมา พระอรหันต์ของลูก พระอรหันต์ของลูก ได้สิ่งมีชีวิตนี้มาๆ

เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของเรา แต่เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา พระอรหันต์เป็นสัจจะเป็นความจริงในใจของตน พระอรหันต์คือความไม่หันเห อรหันต์คือไม่หันซ้ายหันขวา ไม่ไปในทางที่ชั่ว ไม่ได้ไปทางที่กิเลสมันชักนำไป นั่นมันมีจุดยืนของมัน

ถ้าอรหันต์คือไม่หันซ้ายหันขวา ไม่ไปตามความชั่วของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วมันเป็นสัจจะเป็นความจริงในใจของเรา เป็นสัจจะความจริงในใจของเรา เพราะอะไร

เพราะว่าความทุกข์มันบีบคั้น เวลาคนเรากินอิ่มนอนอุ่นแล้วก็มีความสุขของเราคือความสุขชั่วคราวทั้งนั้นน่ะ เวลาคนเรากินเหล้าเมายา “พอแล้วล่ะ พอแล้วล่ะ” เดี๋ยวก็กินอีก มันทนแรงเร้าในใจของมันไม่ได้

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นปัจจัยเครื่องอาศัยเราก็แสวงหาของเรามาด้วยความเป็นมนุษย์ เราเป็นมนุษย์นะ เราต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย ชีวิตนี้มันอยู่ด้วยอาหาร แต่เราแสวงหาของเราแล้ว สิ่งนี้มันเพียงพอกับเราแล้ว ถ้าเพียงพอกับเราแล้ว ด้วยเรามีค่าน้ำใจของเรา เห็นไหม

คนเกิดมา เกิดมาด้วยเวรด้วยกรรม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน คนที่ขาดตกบกพร่องของเขาเพราะเวรเพราะกรรมของเขา เพราะการกระทำของเขา ถ้าเวรกรรมของเขาคือโอกาสของเขาที่ไม่มี แต่ถ้าคนเกิดมาด้วยสัญชาตญาณของเขาขี้เกียจ เกียจคร้าน ไม่เอาไหน นั่นก็เป็นอำนาจวาสนาของเขา

ถ้าเราจะเจือจาน เราเจือจาน สิ่งที่ปัจจัยเครื่องอาศัยเราแสวงหาของเรามาแล้ว ถ้าเรามีของเราพอเพียงแล้ว เราจะเสียสละเพื่อประโยชน์กับสังคม เพื่อประโยชน์กับโลก เราจะสร้างอำนาจวาสนาบารมีของเรา ถ้าคนจะทำสิ่งนี้ได้จิตใจต้องสูงส่ง ถ้าจิตใจสูงส่ง จิตใจสูงส่งมาจากอะไร

จิตใจสูงส่งมาจากเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเราประพฤติปฏิบัติ เราพยายามกระทำของเรา ถ้าเราทำของเราขึ้นมาเราจะเห็นคุณค่าของหัวใจ ถ้าจิตใจสงบระงับขึ้นมา เรามีความสุขของเรา

สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี เวลาจิตสงบขึ้นมามันไม่ต้องอาศัยสิ่งใดๆ เลย โดยธรรมชาติของมัน มันก็ทรงตัวของมันได้อยู่แล้ว แต่เพราะมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ด้วยความมืดบอดของเรามันเลยปิดหูปิดตา พอปิดหูปิดตามันก็ปรารถนาโลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ยศถาบรรดาศักดิ์ มันไพล่ไปเอานู่น นี่ไง เพราะจิตใจมันต่ำต้อยไง จิตใจมันต่ำต้อยมันถึงไม่เห็นคุณค่าของหัวใจไง

ถ้ามันจะเห็นคุณค่าของหัวใจ ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้บวชพระมา บริขาร ๘ บริขาร ๘ พอดำรงชีพเท่านั้น ดำรงชีพไว้ ภิกขาจารเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งด้วยอะไร ด้วยการประพฤติปฏิบัติไง เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเพื่ออะไร เพื่อพ้นจากทุกข์ไง เพื่อคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันมีฝั่งตรงข้ามที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

ในพระพุทธศาสนานี้ยืนยันถึงการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย การยืนยันไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายที่ไหน เวลาเกิด เกิดที่ไหน เวลาเกิด จิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาจิตมันเกิดขึ้นมา อุบัติขึ้นมามันมาจากไหน

เวลาเกิดเป็นคน เกิดเป็นคนเพราะอำนาจวาสนาถึงมาเกิดเป็นคนไง เวลาเกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เวลาเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม โอปปาติกะ กำเนิดโดยโอปปาติกะ กำเนิด ๔

เวลาเกิดเป็นมนุษย์เกิดมาด้วยเวรด้วยกรรม เราเกิดมาเรามีสายบุญสายกรรม มีพ่อมีแม่ พ่อแม่มีปู่ย่าตายาย คนที่ไม่ได้เป็นนักบวชเขาก็มีครอบครัวของเขา แต่คนที่มีครอบครัวของเขา เขามีสัจจะมีความจริงในใจของเขา

จิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฎะ ถ้ามันมีสติมีปัญญาขึ้นมามันเข้าไปเท่าทันจิตของตน เวลามันเท่าทันจิตของตน กิเลสไม่มีอำนาจจะชักจูงจิตนี้ไปได้ ถ้าไม่มีอำนาจชักจูงจิตนี้ไปได้ จิตนี้สงบระงับ นี่ไง สัมมาสมาธิ จิตสงบระงับขึ้นมามีคุณค่าแล้ว

นี่ไง ผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติต้องจิตใจสูงส่ง สูงส่งที่ไหน สูงส่งว่า มันหาโอกาส หาเวลาในการประพฤติปฏิบัติในชีวิตนี้ได้

คนเราวัยทำงาน วัยทำงานปากกัดตีนถีบทำงานเต็มที่เลย วัยเกษียณวัยแก่เฒ่าแล้วเราจะมาประพฤติปฏิบัติไง

แต่ถ้าคนเขามีสติปัญญาของเขา เขาหาเวลาของเขาได้ เราจะอยู่ที่ไหนเราก็มีลมหายใจอยู่ ถ้าเรามีลมหายใจ มีสติปัญญาอยู่ มีสติปัญญา มีสตินะ ลมหายใจนี้มันลมหายใจของสิ่งมีชีวิต แต่ถ้าเรามีสติกำหนด หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เป็นพุทธานุสติ พุทธานุสติคือพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แล้วมันเบิกบานที่ไหน

เวลาคนเวลาเจ็บตาก็ไปหาหมอตา ถ้าหมอตาเขาก็รักษาให้หายได้ก็มองเห็นสิ่งนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันพุทธะอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่หัวใจ ถ้าหัวใจขึ้นมา ถ้ามันเข้าถึงหัวใจของตนได้ หัวใจของตนมันสงบเข้ามาแล้ว สิ่งในโลกนี้เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ ของอาศัย ของชั่วคราว

ของอาศัย ของชั่วคราว คนที่จิตใจสูงส่งเขาเห็นคุณค่าตรงนี้ เขารู้เท่าทันว่าสิ่งนั้นมันไม่สามารถที่จะฉุดกระชากลากใจของเราไปได้ แต่ถ้ามันเป็นอำนาจวาสนาบารมีของตนที่จะคุ้มครองรักษาสมบัติของเราได้หรือไม่

คนที่ประหยัดมัธยัสถ์เขาจะรักษาสมบัติ เขาจะคุ้มครองของเขา เขาดูแลทรัพย์สมบัติของเขา ทรัพย์สมบัติของเขามีไว้เพื่อดำรงชีพ เพื่อชาติ เพื่อตระกูล เพื่อสังคม เพื่อๆๆ

ถ้ามันเพื่อขึ้นมา จิตใจมันจะสูง ถ้าจิตใจมันสูงส่งมันทำสิ่งนี้ได้ ถ้าจิตใจคนมันตระหนี่ถี่เหนียว เพื่อเราๆๆ ของเราๆๆ มันไม่ให้ใครเลย แล้วมันก็ไม่ได้อะไรเลยไง ถ้าจิตใจของคนที่มันไม่สูงส่ง

ถ้าจิตใจของคนสูงส่งขึ้นมา มันเพื่อเราแล้วก็เพื่อสังคม เพื่อโลก เพื่อศาสนา เพื่อสิ่งต่างๆ นี่มันมีอำนาจวาสนาบารมีของมันขึ้นไป แล้วก็มีเวล่ำเวลา เพราะอะไร เพราะถ้ามันเพื่อแล้วจิตใจมันมีค่า

ถ้าจิตใจมีค่า ดูคนสิ เขาจะทุกข์ร้อนขนาดไหน นี่มันกรรมของสัตว์ เขาจะดีจะชั่ว เรื่องของเขา เรื่องของเขา เราจะทำทุกคนให้เป็นคนดีทั้งหมดไม่ได้ เราจะทำให้ทุกคนมีความเห็นเหมือนกันเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ แล้วแต่ว่าคนมีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน

ถ้าคนที่มีอำนาจวาสนามากขึ้นมาเขาก็ละวางได้ เขาละวางของเขา ชีวิตก็คือชีวิตนี้ แต่ชีวิตนี้เราชีวิตเพื่ออะไร ชีวิตเพื่อโลกก็จบไปเพื่อโลก ถ้าชีวิตเพื่อเรา ชีวิตเพื่อเรา เพื่อเรา เพื่อใคร เพื่อเราเพื่อกิเลสหรือเพื่อธรรม

ถ้าเพื่อธรรมๆ นะ เพื่อธรรมต้องให้เป็นสัจธรรมๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีขัดไม่มีแย้งกันเลย ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะไม่มีขัดไม่มีแย้งกันนะ

ไอ้นี่ประพฤติปฏิบัติมันทั้งขัดทั้งแย้ง จะไปทางลัด จะไปทางตรง จะมุดอุโมงค์ไป จะไปบนอากาศ...ไม่มีอยู่ในโลก ถ้ามีอยู่แล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่ทุกข์ยากอย่างนี้ ๖ ปีที่ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ คนนู้นชม คนนี้เยินยอ คนนี้ยกย่องสรรเสริญ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สน เพราะหัวใจยังติดค้างอยู่ เพราะมันยังทุกข์อยู่ เพราะมันยังมีความสงสัยอยู่ ไม่ฟังใครทั้งสิ้น

เวลามาแสวงหา แสวงหาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เวลาเกิด เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลามันจะปลดเปลื้อง ชีวิตนี้มาจากไหน บุพเพนิวาสานุสติญาณ ตั้งแต่พระเวสสันดรไป แล้วถ้ามันไม่จบไม่สิ้น ไปไหน มันเกิดต่อเนื่องไป แล้วถ้ามันจบ จบที่ไหน อาสวักขยญาณ จบในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสวยวิมุตติสุข นี่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่เกิดอีกแล้ว ไม่เกิดก็ไม่มีการตาย ไม่มีการเริ่มต้น ท่ามกลาง ที่สุด เอามาจากไหน

เพราะมันมีเริ่มต้น มีเริ่มต้นเพราะอะไร มีเริ่มต้นเพราะอวิชชา เพราะความไม่รู้ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแทงทะลุหมดแล้ว อะไรไม่รู้ สว่างกระจ่างแจ้ง สามแดนโลกธาตุ ครอบคลุมทั้งหมด กามภพ รูปภพ อรูปภพ เป็นวิวัฏฏะ ออกจากวัฏฏะ ออกจากวัฏฏะด้วยหัวใจดวงนี้

วัฏฏะนี้เป็นที่อาศัยเท่านั้น กามภพ รูปภพ อรูปภพ เถียงกันจะเป็นจะตาย นรกสวรรค์มีหรือไม่ ทุกอย่างมีหรือไม่ มันเป็นแค่ที่อยู่อาศัยของจิตเท่านั้น

จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ด้วยบุญ ด้วยกุศล ด้วยกรรม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ทำดีก็ได้ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม แต่ก็หมดอายุขัยก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

วัฏฏะคือการเวียนว่ายตายเกิดสังสารวัฏไม่มีวันจบวันสิ้น ทำชั่วทำหยาบช้าไปเกิดนรกอเวจี ด้วยศีล ๕ มนุษย์สมบัติเราถึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์

การเกิดเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่มีค่า มีค่าเพราะมีกายกับใจ ร่างกายนี้บีบคั้น มันต้องการอาหาร โรคประจำธาตุขันธ์คือโรคหิวกระหาย มันจะหิวมันจะกระหาย มันต้องการอาหารตลอดไป แล้วมันก็บีบคั้นเราตลอด แล้วธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มาเตือนตรงนี้ไง ให้พิจารณากาย

ทางการแพทย์เขาพิจารณากายดีกว่าเราอีก เขารู้เลยว่าการแบ่งเซลล์ การทรงอยู่ของอวัยวะ เขาเปลี่ยนถ่ายได้ เปลี่ยนหัวใจก็ได้ เปลี่ยนไตก็ได้ เปลี่ยนตับก็ได้ เปลี่ยนได้หมดเลย ทางการแพทย์เขาเปลี่ยนได้หมดเลย

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง สัจจะคือสัจจะ

การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเพราะความไม่รู้ เพราะอวิชชา อวิชชาที่ไหน อวิชชาคือพญามาร คือเจ้าวัฏฏะที่มันครอบคลุมหัวใจอันนั้น

แล้วถ้ามันเป็นจริงๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการคลาดเคลื่อน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีขัด ไม่มีแย้ง ไม่มีการกีดขวางกันทั้งสิ้น แล้วมันจะเป็นไปของมันตามสัจจะเป็นความจริง มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียดไง

ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นสมมุติของเรา แต่มันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ว่ารู้ รู้ทุกเรื่องเลย แต่ไม่รู้ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่รู้จักจิตของตน ไม่รู้จักกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ไม่รู้ว่าเริ่มต้นที่ไหน ท่ามกลางที่ไหน แล้วจบที่ไหน ไม่มีเหตุ ไม่มีผล โอ๋ย! เป็นพระอรหันต์หมดเลย

นั่นมันหันเข้าหากิเลสไง หันเข้าหาทิฏฐิมานะของตน หันเข้าหาอีโก้ของตน ว่าตนยิ่งใหญ่ๆ

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มนุษย์เสมอมนุษย์ เสมอภาคกันโดยความเป็นมนุษย์ แต่กิเลส กรรมของคนแตกต่างกัน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับเทวทัตร่วมเกิดเป็นคู่เวรคู่กรรมกันมาตลอด เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวทัตมาทำสังฆเภท มาช่วงชิงอำนาจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมาปกครองสงฆ์ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้สร้างบารมีสิ่งใดมา

นี่ไง เกิดมาร่วมกัน เกิดมาด้วยกัน คนหนึ่งเกิดมาสร้างสมคุณงามความดี แล้วคนหนึ่งใช้สติใช้ปัญญาพยายามแยกแยะค้นหาอวิชชาความไม่รู้ในใจของตน อีกคนหนึ่งเกิดมาด้วยการแย่งการชิงการแสวงหา ต้องการอำนาจบาตรใหญ่โดยที่ตัวเองไม่รู้ไม่เห็นในใจของตนใดๆ ทั้งสิ้น ธรณีสูบทั้งเป็นเลยนะ

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาปรินิพพานไปแล้ว ดูสิ เวลาจะพระราชทานเพลิง เทวดาให้จุดไม่ติดๆ เพราะพระกัสสปะยังมาเฝ้าไม่ถึง พระกัสสปะเป็นผู้ทรงคุณธรรม

พระกัสสปะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วจะเป็นผู้ที่ทำสังคายนา เป็นผู้ที่รวบรวมให้หมู่สงฆ์เข้มแข็ง ให้สงฆ์เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันด้วยการกระทำของพระกัสสปะ นี่ด้วยบุญอำนาจวาสนาของพระกัสสปะ เห็นไหม

จุดไฟอย่างไรก็ไม่ติด รอจนพระกัสสปะมาถึง ได้มากราบฝ่าพระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวดาจุดให้เลย ไฟติดปั๊บ

นี่ไง ความดีๆ ไง คนคนหนึ่งธรณีสูบไปเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูสิ เทวดา อินทร์ พรหมส่งเสริม ยกย่องสรรเสริญ กราบบูชา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ พระอานนท์คร่ำครวญแล้วคร่ำครวญอีก “ดวงตาของโลกดับแล้ว ดวงตาของโลกดับแล้ว”

นี่ไง เป็นผู้ชี้นำตั้งแต่เทวดา อินทร์ พรหม ตั้งแต่โลกมนุษย์ ตั้งแต่การปกครอง ทุกๆ อย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนชี้แนะชี้นำ เวลาการจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาคอยแก้คอยไขให้คนพัฒนาไปเรื่อย นี่ไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่นี่ไง

ไม่ใช่ประเสริฐที่ฤทธิ์ ไม่ใช่ประเสริฐที่ทายใจ ไม่ใช่รู้วาระจิต แหม! ญาติโยมมากมาย ไปไหนมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง...นั่นคือคอนเสิร์ต ธรรมะคอนเสิร์ต คอนเสิร์ตมันจัดแสงสีเสียง นี่ไม่ใช่

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียบง่าย สงบ มีคุณธรรมในใจของตน อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่มีการเห่อเหิมทะเยอทะยาน ไม่มี ไม่เป็นไปอย่างนั้น

นี่พูดถึงมหัศจรรย์อย่างนี้ไง มหัศจรรย์จนคนมองไม่เห็นไง มองแต่ไอ้คนมาจัดฉาก อย่างนั้นยิ่งใหญ่ ไปไหนคนล้อมหน้าล้อมหลัง

คน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปไหนมีพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ล้อมหน้าล้อมหลัง พระอรหันต์ที่ล้อมหน้าล้อมหลังเป็นสิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์ เป็นสิ่งที่ไว้วางใจได้

ไม่ใช่มีแต่มีดคอยทิ่มคอยแทงคอยเสียบกันอยู่นั่น ไปล้อมหน้าล้อมหลังแล้วคอยเสียบ คอยเหยียบเท้า คอยผลักดันกัน ไร้สาระ

นี่พูดถึงว่า ถ้าเราจะเลือก ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีขัดไม่มีแย้งกัน ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐ ประเสริฐที่ไหน ประเสริฐที่ในหัวใจของเรา ถ้าหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้มันเป็นความจริงขึ้นมา

แต่มันไม่ประพฤติปฏิบัติไง รู้ทุกเรื่อง แต่ทำอะไรไม่ได้สักเรื่อง รู้ทุกเรื่อง พระพุทธเจ้าสอนรู้ทุกอย่างเลย แต่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง เอวัง